กรมส่งเสริมสหกรณ์ ยึดแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน สานต่อโครงการเพิ่มมูลค่าวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ช่วยลดปัญหาขยะทางการเกษตร สร้างรายได้เสริมให้เกษตรกร และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

6 Oct 2025

โครงการสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมีที่มาจากแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่มุ่งเน้นการนำทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและเพิ่มรายได้ให้ภาคการเกษตร ทั้งนี้ จากการที่ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม มีผลผลิตการเกษตรหลากหลายชนิด ซึ่งหลังจากการผลิต การเก็บเกี่ยว หรือการแปรรูป มักจะเกิดส่วนเหลือทิ้งจากการผลิตหรือวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น ฟางข้าว ซังข้าวโพด เปลือกผลไม้ เศษผัก มูลสัตว์ ซึ่งส่วนใหญ่มักถูกทิ้งหรือเผาทำลาย ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM 2.5 ที่รุนแรงเพิ่มขึ้น และยังทำให้เกิดการสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล

กรมส่งเสริมสหกรณ์ มีภารกิจในการส่งเสริมการดำเนินธุรกิจของสหกรณ์ภาคเกษตร ให้เป็นศูนย์กลางการผลิต รวบรวม แปรรูปและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรของสมาชิก และที่ผ่านมาพบว่า หลังจากการดำเนินกิจกรรมการผลิต การเก็บเกี่ยว หรือการแปรรูปของเกษตรกรสมาชิกสหกรณ์แล้ว มักจะเกิดส่วนเหลือทิ้งจากการผลิต หรือวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมและชุมชน จึงมีการส่งเสริมองค์ความรู้ในการจัดการกับวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรให้เกิดประโยชน์โดยให้องค์ความรู้เพื่อพัฒนาส่วนเหลือทิ้งจากการผลิตให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างมูลค่า เพิ่มมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาสร้างมูลค่าเพิ่มหรือที่เรียกว่า เศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้เกษตรกรสมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรสามารถลดต้นทุนและสร้างมูลค่าเพิ่ม รวมทั้งป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองซึ่งจะส่งผลให้เกิดสินค้าเกษตรชีวภาพ ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น และช่วยลดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาการแสวงหาพลังงานทดแทนที่ยั่งยืน


กรมส่งเสริมสหกรณ์ ขับเคลื่อนโครงการสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ตั้งแต่ปี 2567

โดยกลุ่มเป้าหมายประกอบด้วยสหกรณ์ และกลุ่มเกษตรกรที่ผลิตสินค้า พืชไร่ พืชสวน และปศุสัตว์ จำนวน 120 แห่ง

ในพื้นที่ 38 จังหวัด จากการดำเนินโครงการฯ พบว่า สหกรณ์ และกลุ่มเกษตรกรได้รับความรู้เกี่ยวกับการนำเทคโนโลยี นวัตกรรมจากการวิจัยพัฒนาการนำส่วนเกินหรือผลิตผลพลอยได้หรือวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาใช้ประโยชน์

ในการลดต้นทุนและสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัสดุเหลือใช้/การป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองตลอดห่วงโซ่การผลิต

จำนวน 119 แห่ง

จากผลสัมฤทธิ์โครงการสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรในปี 2567 กรมส่งเสริมสหกรณ์

จึงเดินหน้าโครงการฯ ต่อเนื่องในปี 2568 นี้ พร้อมทั้งวางเป้าหมายเพื่อให้สินค้าเกษตรชีวภาพมีมูลค่าเพิ่มขึ้น

ให้ความสำคัญต่อการสนับสนุนการใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพในการผลิตและการแปรรูปสินค้าเกษตรด้วยกระบวนการทางชีวภาพ เพื่อนำไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง ภายใต้ระบบการผลิตที่คำนึงถึงการทำเกษตรที่อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เกษตรชีวภาพ ปลอดสารพิษ และคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม

สำหรับในปี 2568 ดำเนินการที่สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร ผลิตสินค้า พืชไร่ พืชสวน ประมง และปศุสัตว์

จำนวน 130 แห่ง ในพื้นที่ 46 จังหวัด เน้นการขยายผลการนำเทคโนโลยี นวัตกรรม มาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพ

การดำเนินธุรกิจจากวัสดุเหลือใช้ของสหกรณ์ โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการเสริมศักยภาพ

ด้านการผลิต การดำเนินธุรกิจของสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรด้วยการสนับสนุนอุปกรณ์การตลาด จำนวน 7 แห่ง

ในพื้นที่ 7 จังหวัด อาทิ เช่น รถแทรกเตอร์พร้อมอุปกรณ์ สำหรับไถพรวนลดการเผาไหม้โดยคาดว่าจะส่งผลให้เกิด

สินค้าเกษตรชีวภาพที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ช่วยลดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาการแสวงหา

พลังงานทดแทนที่ยั่งยืน


ในส่วนของกิจกรรม ประกอบด้วย การสำรวจส่วนเหลือทิ้งจากการผลิต หรือวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร,

การจัดอบรมสร้างองค์ความรู้การนำเทคโนโลยี นวัตกรรมจากการวิจัยพัฒนาการนำส่วนเกินหรือผลิตผลพลอยได้

หรือวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาใช้ประโยชน์ในการลดต้นทุนและสร้างมูลค่าเพิ่ม นอกจากนี้ ยังเน้นการป้องกัน

และแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง รวมถึงการถ่ายทอดองค์ความรู้ โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนสนับสนุนอุปกรณ์ เทคโนโลยี

จากการดำเนินการดังกล่าว คาดว่าจะส่งผลให้สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร และสมาชิก มีรายได้จากการจัดการ

วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ตลอดจนสร้างมูลค่าเพิ่มจากผลิตผลพลอยได้หรือวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเพิ่มขึ้น 3%

ที่สำคัญ การนำวัสดุเหลือใช้มาแปรรูป ช่วยลดการเผาในที่โล่ง ทำให้คุณภาพอากาศดีขึ้นและลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับสหกรณ์, กลุ่มเกษตรกร และสมาชิก ตลอดจนเกิดการสร้างนวัตกรรมใหม่ ที่ต่อยอด

เพิ่มมูลค่าได้ ซึ่งจะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก เกิดการจ้างงานในท้องถิ่นและกระตุ้นเศรษฐกิจในชุมชนในที่สุด


Tag :

ข่าวไฮไลท์

find me on socials

Find us on Facebook

NEWS UPDATE

ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ